ฝากร้านฟรี , ประกาศขายของฟรี, ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google , ประกาศฟรีไม่มีหมดอายุ

หมวดหมู่ทั่วไป => โปรโมทสินค้าฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 8 ธันวาคม 2025, 18:10:50 น.

หัวข้อ: วิธีการให้อาหารสายยาง มีกี่วิธี?
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 8 ธันวาคม 2025, 18:10:50 น.
วิธีการให้อาหารสายยาง มีกี่วิธี? (https://dseelin.co.th/)

วิธีการให้อาหารทางสายยาง (Enteral Feeding) สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบหลัก ๆ ตาม ความเร็ว (Rate) และ ความถี่ (Frequency) ในการให้อาหารค่ะ

โดยทั่วไป วิธีการให้อาหารทางสายยางจะแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีหลัก ดังนี้:


⏳ วิธีการให้อาหารทางสายยาง 3 รูปแบบหลัก

1. การให้อาหารแบบเป็นรอบ / เป็นมื้อ (Bolus or Intermittent Feeding)

ลักษณะ: เป็นการให้สารอาหารในปริมาณมากในแต่ละครั้ง (คล้ายกับการรับประทานอาหารเป็นมื้อ) โดยใช้ กระบอกฉีดยา (Syringe) หรือชุดให้อาหารปล่อยให้ไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง

ความถี่: มักให้ประมาณ 3–6 ครั้งต่อวัน โดยแต่ละมื้อใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที

ข้อดี: ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกในช่วงระหว่างมื้อ และเป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับการรับประทานอาหารปกติที่สุด

ข้อควรระวัง: อาจเกิดอาการท้องอืด คลื่นไส้ หรือท้องเสียได้ง่าย หากให้เร็วเกินไป หรือให้ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่กระเพาะอาหารจะรับได้


2. การให้อาหารแบบต่อเนื่อง (Continuous Feeding)

ลักษณะ: เป็นการให้สารอาหารในอัตราที่ ช้าและคงที่ ตลอดช่วงเวลาที่กำหนด โดยใช้ ปั๊มให้อาหาร (Feeding Pump) เป็นตัวควบคุมอัตราการไหลอย่างแม่นยำ

ความถี่: มักให้ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน (24 ชั่วโมง) หรือตามช่วงเวลาที่กำหนด

ข้อดี: ช่วยลดความเสี่ยงของการสำลัก (Aspiration), ท้องอืด, และท้องเสีย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤต หรือผู้ที่มีปัญหาการย่อยอาหาร

ข้อควรระวัง: ผู้ป่วยต้องมีอุปกรณ์ติดตัวตลอดเวลาที่ทำการให้อาหาร


3. การให้อาหารแบบเป็นวงจร (Cyclic Feeding)

ลักษณะ: เป็นการให้สารอาหารแบบ ต่อเนื่อง แต่จำกัดให้อยู่ในช่วงเวลาที่สั้นลง (เช่น 8–16 ชั่วโมงต่อวัน) โดยใช้ปั๊มให้อาหารเช่นกัน

ความถี่: มักเลือกให้ในเวลากลางคืนขณะที่ผู้ป่วยนอนหลับ

ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กำลังปรับตัวกลับไปรับประทานอาหารทางปากได้บ้างแล้ว และต้องการเสริมสารอาหารเพิ่มเติม โดยที่ในเวลากลางวันผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ

หมายเหตุ: การเลือกวิธีการให้อาหารจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และนักโภชนาการ โดยพิจารณาจากสภาวะทางคลินิก ความสามารถในการย่อยอาหารของผู้ป่วย และความเสี่ยงในการสำลักอาหารค่ะ